ข้อมูลเบื้องต้นที่ควรรู้ + ทิป และ เทคนิค ในการทำประกันสุขภาพเด็ก^^ |
||||
---|---|---|---|---|
Webmaster
Joined:
2014/5/21 20:20
Posts:
258
|
หลายคนที่กำลังสนใจประกันสุขภาพ วันนี้ ริวมีข้อมูลเบื้องต้นในการพิจารณาเลือกทำประกันสุขภาพ พร้อมเทคนิคที่ช่วยให้เราวางแผนและประหยัดค่าใช้จ่ายในการวางแผนทำประกันได้อย่างได้ผลมาฝากครับ ^^(ข้อมูลนี้ริวโพสต์ไว้ที่เพจนมแม่แสนอร่อยขออนุญาตรวมมาไว้ที่เดียวกันเลยเพื่อความสะดวกในการอ่านนะครับ จะได้ไว้ใช้อ้างอิงในการหาข้อมูลในอนาคตต่อไปได้ครับ ^^)
เอาเป็นว่าอยากให้ทำความเข้าใจง่ายๆนะ ตั้งแต่ไอเดียการทำ ไปจนถึงการเลือกซื้อครับ ประกันสุขภาพเด็กค่อนข้างจุกจิกครับ โดยเฉพาะน้องที่ยังไม่เกินขวบ เงื่อนไขการเคลมและข้อยกเว้นจะมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ควรต้องทำ เพราะค่ารักษาใน รพ สมัยนี้แพงมากครับ เฉลี่ยๆที่วันละ 10k บาท คราวนี้คนส่วนใหญ่จะชอบทำประกันสุขภาพกับแบบเงินออม ที่มีระยะเวลา 10-20 ปี ซึ่งจริงๆแล้วไม่เหมาะนะครับ เพราะจะทำให้เบี้ยประกันสูง การทำประกันสุขภาพที่ดี ควรทำให้เบี้ยไม่สูงเกินไป คุ้มครองยาว และไม่เป็นภาระกับเราจนส่งต่อไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนั้นก็ให้โทษมากกว่าที่จะดี ลองนึกตัวอย่างง่ายเวลาคุณแม่เลือกซื้อครีมน่ะครับ ครีมตลาดทาทุกวันกับเคาเตอร์แบรนด์ทาเป็นบางวัน ครีมตลาดย่อมให้ผลที่ดีกว่า ^^ คราวนี้เรื่องการซื้อประกัน คนมักจะมองไปที่ซื้อกับ บ. ไหน หรือความคุ้มครองแบบไหนถึงจะดี จนลืมไปว่า เราซื้อประกันแล้วเราต้องเอาไปใช้ที่ไหน ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการซื้อประกันสุขภาพ ไม่ใช่ซื้อแบบไหนครับ แต่เป็นเราจะเอาประกันนั้นไปใช้ที่ไหน คำตอบก็คือ รพ ที่เราพาลูกไปใช้บริการนั่นแหล่ะครับ ให้เราเริ่มที่จุดนั้น สมมติถ้าเราไปใช้ บริการ รพ นนทเวช เป็นหลัก เราก็ไปที่ รพ นนทเวช เลยครับ แล้วก็ลองถามประชาสัมพันธ์ดูว่าอยากทราบข้อมูลค่าห้องสำหรับเด็ก ว่ามีราคาเท่าไหร่ จนท จะเอาข้อมูลให้ครับ ข้อมูลที่ 2 ที่เราจำเป็นต้องรู้คือ ให้คุณแม่ลองถามประชาสัมพันธ์ว่าอยากทราบข้อมูลจากฝ่ายเคลมประกันจะได้มั้ยต้องไปคุยที่ไหน โดยคำถามหลักคือ บ.ประกันที่ รพ มีคอนแทคอยู่ บ.ไหนที่เคลมง่าย ไม่จุกจิก ไม่นาน ซึ่ง จนท จะพอบอกคร่าวๆได้ครับ ถ้าเรามี บ.ไหนในดวงใจอยู่ก็ถามได้เลยว่า แล้ว บ. นี้ล่ะ เคลมดีมั้ย? เท่านี้เราจะได้ข้อมูลเบื้องต้นไว้เลือกแบบประกันและ บ.ประกันแล้วครับ ที่เหลือ รอคุยกับตัวแทน เมื่อได้ข้อมูลจาก รพ แล้ว ก็ให้หาตัวแทนมืออาชีพที่สามารถให้คำปรึกษาเราได้ครับ การดูว่าตัวแทนคนไหนมืออาชีพ ให้ลองสอบถามขั้นตอนการทำงานของเค้าดู ว่าเค้าทำงานอย่างไร ขั้นตอนการทำใบคำขอ การชำระเงิน ความคุ้มครอง แบบประกันที่แนะนำ(ในส่วนแบบประกันแนะนำให้ผูกกับแบบตลอดชีพนะครับ) ส่วนสำคัญจะอยู่ที่ค่าห้อง ถ้าจากภาพ รพ นนทเวช ห้องเดี่ยวจะเริ่มที่ 2500 บาท แล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆคือ ค่า บริการพยาบาล ค่าธรรมเนียม ค่าอาหาร แล้วออกมาเป็นยอดรวมที่วันละ 5,150 บาทต่อวัน ซึ่ง ประกันเด็กส่วนใหญ่ที่ขายกัน เราจะได้ค่าห้องที่ เฉลี่ยๆ 2000-2500 เท่านั้น นั่นแปลว่าเมื่อเราเข้าทำการใช้บริการ รพ จริงๆ จะเกิดส่วนต่างค่ารักษาพยาบาลอย่างแน่นอนครับ^^" เรื่องแบบประกันจะขอข้ามไม่ขอพูดถึงก่อนนะครับ กลัวไม่เหมาะ แต่ในส่วนของการทำประกัน ในขั้นตอนทำใบคำขอ ต้องแถลงประวัติสุขภาพตามจริงนะครับ ในกรณีโรคทั่วไปไม่มีปัญหา เช่น ตัวร้อน ไอ มีน้ำมูก ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าเคยมีตัวร้อนจนชัก หรือเคยมีอาการติดเชื้อที่ปอด หรือ ลำไส้ ระบบทางเดินอาหารหรือทางเดินหายใจต้องแถลงให้ดีก็แนบประวัติสุขภาพไปพร้อมกับใบคำขอเลยครับ จะดีที่สุด เมื่อทำประกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้เล่มกรมธรรม์มาให้ตรวจเช็คข้อมูลภายในเล่มกรมธรรม์ด้วยนะครับ ว่าตรงตามที่คุยกันไว้กับตัวแทนหรือเปล่า(จริงๆในทางปฏิบัติตัวแทนมืออาชีพต้องอธิบายวิธีใช้กรมธรรม์ให้ลูกค้าฟังด้วยตอนนำเล่มกรมธรรม์มาส่งนะครับ) แต่ถ้าตัวแทนไม่ได้อธิบายวิธีเช็คง่ายๆ ให้ดูที่หน้าแรกครับ จะมีข้อมูลส่วนตัวผู้ทำประกัน และแบบประกันที่ลูกค้าทำครับ ว่ามีอะไรบ้าง โดยประกันสุขภาพ จะมีระยะรอคอยด้วย ขั้นต่ำก็ 30 วัน ตามกฎหมายอยู่ที่ 6 เดือน ดังนั้น แล้วแต่ว่า บ. ไหนใช้ระยะรอคอยเท่าไหร่นะครับ ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน วิธีนับระยะรอคอย จะนับจากวันที่ บ. อนุมัติสัญญานะครับ ไม่ใช่นับจากวันที่ลูกค้าชำระเงินตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี^^ ตัวอย่างภาพหน้าแรกกรมธรรม์ครับ ริวตัดเฉพาะส่วนสำคัญให้ดูนะครับ(ไม่ใช่ของอลิอันซ์นะครับ เดี๋ยวคนมีอลิอันซ์จะงงว่าทำไมเขียนไม่เหมือนกัน อันนี้ของบ.เพื่อนบ้าน พอดีริวมีรูปนี้ในเครื่องพอดีเลยเอามาทำตัวอย่างให้ดูครับ 55) ดูมุมด้านบนขวาสังเกตจะมีบอกวันเริ่มสัญญา เริ่มนับเวลารอคอยจากตรงนี้ครับ ข้อสังเกตให้นับที่วันหลังเสมอถ้าวันที่ไม่ตรงกันครับ ตารางข้างล่างจะมีบอกข้อมูลของสัญญาที่มีอยู่ในกรมธรรม์ฉบับนี้ครับ ให้เช็คดูว่าตรงกับที่เราคุยกับตัวแทนเอาไว้มั้ย อันนี้จุดที่ 1 จุดที่ 2 ด้านหลังเล่มกรมธรรม์ จะมีสำเนาใบคำขอแนบอยู่ด้วยให้เราเช็คข้อมูลว่า ข้อมูลในใบคำขอตรงตามที่เรากรอกข้อมูลหรือไม่?(ในกรณีที่เรากรอกประวัติสุขภาพแนะนำให้เช็คสำเนาใบคำขอทุกครั้งนะครับ) หลักๆที่เราสามารถเช็คเองได้ก็ง่ายๆแค่นี้ครับ^^ คราวนี้มาถึงจุดสำคัญของประกันสุขภาพ สำหรับคนที่มีแล้วลองเปิดไปในเล่มก็จะเห็นตารางคล้ายๆอันนี้นะครับ ก็คือตารางผลประโยชน์ความคุ้มครอง อันนี้ขออ้างอิงของอลิอันซ์ละกันนะครับ เพราะริวคุ้นสุดสังเกตว่าผลประโยชน์จะมาเป็นรายการ ซึ่งเวลาประกันเคลมความคุ้มครองให้ จะจ่ายตามรายการที่แสดงนี้ครับ โดย ค่าห้อง ค่าบริการพยาบาล ค่าอาหาร จะอยู่ในหมวดเดียวกันอย่างที่อธิบายไปก่อนหน้านี้ สมมติ รพ ที่เราไปใช้ รวมค่าใช้จ่ายตรงนี้แล้วอยู่พอดีกับความคุ้มครองจะดีที่สุดครับ อาจจะทำให้น้อยกว่าหรือเกินไว้เผื่ออนาคตก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังของเราอย่างที่บอกไว้ว่า ต้องไม่ฝืนจนเกินกำลังครับ ในส่วนของค่าห้อง บ.ประกัน แต่ละที่จะมีระยะเวลาคุ้มครองไม่เท่ากัน หัวข้อต่อมา คือค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ตรงนี้ถ้ายกตัวอย่างพอเห็นภาพคือพวกค่าน้ำเกลือ ค่าอะไรก็แล้วแต่ที่เราเข้าไปใช้แล้วจำเป็นต่อการรักษาจะมาเคลมที่หัวข้อนี้ครับ ค่าแพทย์ผ่าตัดหรือค่าธรรมเนียมผ่าตัด ในหัวข้อนี้จะบอกราคาสูงสุดที่เคลมได้ แต่เวลาจ่ายจริงจะมีเงื่อนไขการจ่ายเป็น% ตามอวัยวะที่จ่ายนะครับ เช่นในกรณีนี้เคลมได้ที่ 65000 สมมติถ้าอวัยวะที่ผ่าคือไส้ติ่งจะเคลมได้ที่ 50% เท่ากับ บ. ประกันจ่ายค่าผ่าตัดให้จริงๆ คือ 32,500 ครับ ส่วนอวัยวะอื่นๆจะมีบอกเอาไว้ในกรมธรรม์นะครับ ค่าห้องผ่าตัด ค่าวิสัญญีก็ตามนั้นเลยครับ จะมีในส่วนค่าตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยนอก อันนี้ไม่ใช่ OPD นะครับ แต่จะเป็นค่าเอ็กซเรย์ หรือ ค่าใช้แลปก่อนการเข้าแอดมิทนอน รพ ครับ ซึ่งเงื่อนไขการใช้ของประกันแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน แล้วก็บางที่แยกบางที่รวมในค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลอื่นๆนะครับ(แต่ของอลิอันซ์แยกออกมา) ค่าแพทย์ตรวจรักษาก็คือเวลานอน รพ แล้วคุณหมอมาเยี่ยมไข้ตอนเช้าน่ะครับ(ถ้าใน รพ เอกชน เรามักจะโดนส่วนต่างจากตัวนี้ด้วยเหมือนกัน) ค่ารักษาฉุกเฉินจากอุบัติเหตุ ตัวนี้จะไม่มีระยะรอคอยนะครับ แต่ต้องเป็นการรักษากรณีอุบัติเหตุเท่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องนอน รพ ครับ(แต่ใช้รักษาตัวร้อนเป็นไข้ไม่ได้นะครับ) รวมผลประโยชน์สูงสุด จะเห็นว่า 4แสนกว่า แต่ทำไมเราเคลมจริงๆ นอน 3 วันบางทีบิลมา 2หมื่นกว่า แต่จ่ายส่วนต่างเยอะกว่าบิลมา 3-4 หมื่นอีก หรือบางทีนอน 2 วัน จ่ายส่วนต่างมากกว่า 3 วัน ทำไมเป็นแบบนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ริวจะมาอธิบายให้ฟังครับ^^ กลับเข้าเรื่องต่อ มีข้อมูลอีกส่วนของสัญญาความคุ้มครองสุขภาพ ที่สำคัญไม่แพ้หน้าตารางผลประโบชน์ ก็คือเรื่องของข้อกำฟนด และ ข้อยกเว้น คนส่วนใหญ่จะคุ้นหูกับเรื่องข้อยกเว้น เพราะเรามักจะให้ความสำคัญว่าถ้าบังเอิญ ณ จุดเกิดเหตุ มันเป็นข้อยกเว้นเราจะเคลมไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งข้อกำหนดและข้อยกเว้นสำคัญทั้ง 2 ส่วนนะครับ ฅึ่งแนะนำว่าให้อ่านและทำความเข้าใจทั้งข้อกำหนดและข้อยกเว้นครับ ถ้าในส่วนของหัวข้อไหนที่เราอ่านแล้วเราไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ย ให้เราจดเอาไว้แล้วรอโทรถามคอลเซนเตอร์ของ บ. ประกันที่เราทำสัญญาด้วยทีเดียวครับ ในส่วนของข้อกำหนดและข้อยกเว้น ริวไม่แนะนำให้ถามตัวแทนนะครับ เพราะอันนี้มันเป็นเหมือนกฎในการเคลม ซึ่งบางสิ่งบางอย่างตัวแทนก็อาจจะไม่ทราบได้เหมือนกัน(ซึ่งไม่ผิดนะครับ) เพราะตัวแทนจะเคยชินกับกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยๆมากกว่า ตัวแทนที่เก่งๆจะเชี่ยวชาญในแง่การเคลมในทางปฏิบัติมากกว่า ตรงนี้ขอละไว้ไม่ขอกล่าวถึง เพราะมันจะลงลึกเกินไป แต่เอาเป็นว่า ริวขอสรุปง่ายๆคือ ประกันสุขภาพ ถ้าจะเคลมได้อย่างสบายใจ ก็ควรทำประกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และมีตัวแทนคอยตามเรื่องเอหสารหรือเจรจากับ บ. ให้ครับ เรามีหน้าที่ชำระเบี้ยตามกำหนดก็พอ ที่เหลือไม่ต้องไปเครียดกับมัน ให้ตัวแทนเป็นคนจัดการให้ จบครับ^^ คราวนี้จะมาถึงประเด็นที่ติดค้างกันไว้เมื่อวานนะครับ ว่าด้วยเรื่องส่วนต่าง ริวจะยกตัวอย่างเคสการเคลม 2 กรณีให้ลองเปรียบเทียบกันดู กรณีที่ 1 กรณีที่ 2 สังเกตว่าเคสแรก นอน รพ 2 วัน ยอดที่ลูกค้าชำระอยู่ที่ 23,941.50(เคลมได้ 15963.50) ส่วนต่าง 7,978 ในขณะที่ เคสที่ 2 นอน รพ 3 วัน ค่าใช้จ่ายออกมาที่ 31,032(เคลมได้ 27,852) ส่วนต่างอยู่ที่ 3,180 จะเห็นว่าเคสที่ 2 ถึงแม้จะนอนจำนวนวันมากกว่า ยอดเคลมสูงกว่า แต่กลับจ่ายส่วนต่างน้อยกว่า เพราะอะไร? คำตอบก็คือ ในเคสที่ 2 ลูกค้าเข้าไปใช้บริการใน รพ ที่ค่าห้องใกล้เคียงกับความคุ้มครองที่ลูกค้ามีครับ สังเกตว่าในเคสที่หนึ่งส่วนต่างเกิดจากค่าห้องเป็นหลัก แล้วก็เกิดจากค่าหมอประจำวันนิดหน่อย ซึ่งจะเห็นว่า ถ้าเราเข้าใช้ใน รพ ที่ค่าห้องใกล้เคียงกับความคุ้มครองที่เรามี ก็จะเสียส่วนต่างไม่มากครับ คราวนี้มีวิธีที่เราจะลดส่วนต่างตรงนี้ได้มั้ย? วิธีง่ายๆที่เราสามารถทำได้เองก็คือ เวลาที่เราต้องให้น้องแอดมิท ให้ขอดูอัตราค่านอน รพ ทุกครั้งก่อนแอดมิทครับ เพราะ รพ เอกชนส่วนใหญ่ จนท มักจะเลือกค่าห้องเรทสูงๆให้ลูกค้าก่อน ซึ่งเป็นกันทุก รพ นะครับ ดังนั้น ควรขอดูเรทค่าห้องทุกครั้ง แต่ริวแนะนำว่าถ้าจำเป็นต้องแอดมิท ให้เลือกห้องเดียวนะครับ ไม่ควรนอนห้องรวม เพราะการนอนห้องรวม อาจจะได้เพื่อนร่วมห้องมาแพร่เชื้อที่แรงกว่าให้น้องได้ซึ่งไม่คุ้มครับ อย่างบางทีถ้าน้องเป็นอาหารเป็นพิษ แต่เพื่อนร่วมห้องเป็น ไข้หวัดใหญ่หรือ rsv โอหาสที่น้องจะติดก็สูงครับ ซึ่งมันคงไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นห้องเด็กเลือกห้องเดี่ยวจะดีที่สุดครับ วิธีที่สอง ให้สอบถามว่า รพ. มีระบบสมาชิกที่สามารถให้ส่วนลดลูกค้าได้มั้ย ถ้ามีต้องทำอย่างไรบ้าง(ส่วนใหญ่จะเสียค่าสมัครรายปี) ให้ลองชั่งน้ำหนักดูนะครับว่าคุ้มมั้ย วิธีที่ 3 สอบถาม รพ ว่า ปกติถ้าเป็นลูกค้า บ. ประกัน กรณีที่เราเข้ารักษาใน รพ. ทาง รพ. มีส่วนลดให้มั้ย ซึ่งส่วนใหญ่ รพ ก็จะถามว่าลูกค้าใช้ประกันของอะไร ถ้าเราเล็งตัวไหนไว้ก็ให้บอกชื่อผระกันคัวนั้นไป ทาง รพ ก็จะเช็คข้อมูลให้เอง วิธีที่ 4 อันนี้ลูกค้าไม่สามารถทำได้ ต้องให้ฝั่งตัวแทนทำให้ ก็คือขอส่วนลดให้ลูกค้าผ่านระบบตัวแทน vip ของ รพ(วิธีนี้จะได้รับส่วนลดมากที่สุด) ในวิธีที่ 2-3 จะแตกต่างกันไปในแต่ละ รพ. บาง รพ สามารถทำได้ทั้ง 3 วิธีแต่ต้องเลือกใช้ข้อใดข้อหนึ่ง แต่บาง รพ จะมีแค่วิธีที่ 2และ3 เท่านั้น ดังนั้น ริวถึงแนะนำว่า จะทำประกันสุขภาพควรเริ่มที่ รพ ที่เราคิดว่าจะไปใช้บริการก่อนว่าค่าห้องเท่าไหร่ มีส่วนลดอะๆรยังไงบ้าง แล้วเราค่อยมาดูว่าเราน่าจะสะดวกทำประกันกับที่ไหน แต่ตัวแปลที่สำคัญที่สุดไม่น้อยกว่า แบบประกัน หรือ บ.ประกันที่เราจะทำ ก็คือตัวแทนประกันที่จะดูแลผลประโยชน์ให้เราด้วยครับ^^ คิดว่าน่าจะจบเท่านี้นะครับ ใครมีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมก็สอบถามไว้นะครับ ยินดีให้ข้อมูลครับ หรือว่างๆแวะกันไปคุยที่ แฟนเพจริวอลิอันซ์อยุธยา ก็ยินดีครับ^^ สนใจเช็คเบี้ยประกันสุขภาพเด็ก คริ๊ก > http://goo.gl/6ct52z <
Posted on: 2015/1/22 18:38
Edited by AZAYRYU on 2015/12/9 23:59:53
Reason: อัพเดท |
|||
|